วันศุกร์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2554

มารู้จักกับ TPMS (Tire Pressure Monitoring System)

ผมว่าคำนี้ค่อนข้างใหม่สำหรับเมืองไทย พูดไปไม่ค่อยมีใครรู้ แม้แต่พ่อค้าคลอมถม ซึ่งเป็นตลาดนัดของแต่งรถระดับไม้จิ้มฟันยันเรือรบ

TPMS พูดให้สั้นๆก็คือระบบวัดลมยางแบบ Realtime และออนไลน์!!



หลายคนคงนึกว่า เป็นอุปกรณ์สำหรับเซียนยาง บ้ายางรถยนต์.. เดี๋ยวก่อนครับ ผมไม่ได้บ้ายางรถยนต์ ไม่ได้สิงอยู่เว็บบอร์ดยางท่องรุ่นยางได้หมด และที่สำคัญ ผมก็ไม่ได้ประสาทอยากรู้ความดันลมยางตลอดเวลาขนาดนั้น TPMS มันไม่ได้ใช้งานแบบนั้นครับ


จริงๆแล้วระบบ TPMS ถือเป็นระบบความปลอดภัยในรถยนต์แบบหนึ่ง ลักษณะเดียวกับ ABS, เข็มขัดนิรภัย หรือ Airbag กันเลยทีเดียว ประเทศสหรัฐอเมริกา บังคับว่ารถยนต์ทุกคันที่จำหน่ายในประเทศ ตั้งแต่ปี 2007 จะต้องมีอุปกรณ์ตัวนี้ติดตั้งอยู่ EU กำหนดว่าจะใช้ในปี 2012

ประเด็นมันไม่ได้อยู่ที่เราอยากรู้แรงดันลมยาง แต่ไอ้ลมยางที่อ่อน อาจจะทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ และระบบนี้จะช่วยป้องกัน โดยเตือนเราก่อนเกิดเหตุนั่นเอง เช่น ถ้ายางร้อนตอนวิ่งด้วยความเร็วสูง ถ้าเรารู้ก่อน ก็ค่อยลดความเร็วลง จากหนักก็จะผ่อนเป็นเบาได้

เมืองไทยมีเห็นมีระบบนี้อยู่เฉพาะรถยนต์รุ่นหรูๆเท่านั้น หลายคนพอ TPMS เสียกลับไม่ยอมซ่อมและหาทางปิดไฟเตือน เสียงเตือนทิ้งด้วยซ้ำ..คงเพราะอะไหล่แท้แพงเหลือเกิน แต่อีกหน่อยน่าจะมีใช้กันเยอะ เพราะมีประโยชน์จริงๆ GPS หลายรุ่นก็เริ่มมีออปชั่น TPMS กันแล้ว ทำให้ไม่ต้องเปลืองพื้นที่ติดตั้งจอแสดงผลแยกต่างหากอีกจอหนึ่ง


ฟังก์ชันของ TPMS จริงๆคือ
  • ลดการเกิดยางระเบิดจากยางรั่ว ยางแตก ยางระเบิดจากอุณหภูมิสูง
  • เตือนยางแตกเมื่อวิ่งทับของที่เจาะเนื้อยางได้
  • ช่วยประหยัดน้ำมันจากการวิ่งยางลมอ่อน
  • เตือนยางซึม

ซึ่งการวัดยางแบบธรรมดา ไม่สามารถบอกได้ ทำไมน่ะเหรอครับ..
  • ตอนรถจอด อุณหภูมิของยางและความดันจะไม่เท่ากับตอนที่วิ่งด้วยความเร็วสูง ดังนั้นตอนจอดวัดไปก็ไม่ถูก และคงไม่มีใครสามารถวัดลมยางตอนรถวิ่งได้
  • ยางรั่วขณะวิ่ง เช่นไปทับตะปู การวัดแบบธรรมดาจะไม่สามารถเตือนได้ จะรู้ตัวอีกทียางก็แบนหรือขาดไปแล้วด้วยซ้ำ ต้องสังเกตรถตัวเองเป็น
  • การที่จะบอกได้ว่าตอนนี้ยางอ่อนแล้ว เราต้องขยันมากๆ พยายามวัดทุกล้อ ใครทำได้ทุกวันก็โครตเก่งแล้วครับ แถมตอนวัดยังทำลมรั่วออกอีกต้องเติมคืน สรุปคือไม่น่าจะมีมนุษย์คนไหนทำได้นั่นเอง

ระบบวัดลมยางนั้นมีหลายแบบ ทั้งแบบที่ประมาณเอาจากความเร็วรอบของยาง (ซึ่งมีความถูกต้องในการวัดต่ำหน่อย) และแบบที่เอาเซ็นเซอร์ไปติดตั้งที่ยางรถยนต์เลยจริงๆนั่นคือ TPMS

แบบที่เราจะพูดกันวันนี้จะเป็นแบบเซ็นเซอร์นะครับ
ซึ่งก็มี 2 แบบ อีกแล้ว คือแบบติดตั้งภายในยาง และแบบที่เป็นจุดอุดลม ขันปิดอยู่นอกยาง
แบบติดตั้งภายในยาง

แบบจุกอุดลม



ระบบเซ็นเซอร์พวกนี้ ทำงานแบบไร้สายครับ ภายในมีแบตตารี่อายุใช้งาน 5 ปี อยู่ การสื่อสารจะทำโดยใช้ความถี่สื่อสารระยะสั้น เช่นความถี่ 433 MHz ทำให้การติดตั้งง่ายมาก ไม่ต้องยุ่งกับการเดินสายสัญญาณ

ตัวที่ผมซื้อมาใช้มีหน้าตาแบบนี้ เป็นยี่ห้อ Royceed  WT110
สาเหตุที่เลือกแบบนี้คือ
1. ดีไซน์ มันหลุดโลกน้อยสุด ขนาดบาง และน่าจะเนียนเข้าไปกับรถได้ง่าย
2. มันเป็นแบบติดตั้งถาวร ใช้ไฟ 12 Volt จากรถ รองรับสัญญาณจากสวิตซ์กุญแจ ดังนั้นมันก็เลยเปิดปิดเอง สะดวกดี แต่ก็ต้องเดินสายไฟให้มัน ซึ่งสามารถไปต่อออกมาจากหลังวิทยุได้เลย ร้านประดับยนต์ ร้านเครื่องเสียงรถน่าจะทำเป็นกันหมด


จริงๆยังมีอีกแบบ ที่ติดตั้งง่ายหน่อย คือ ใช้ไฟจากที่จุดบุหรี่ ซึ่งสะดวกมาก เหมือน GPS เลย หาที่วางเครื่อง แล้วเสียบไฟก็เวิร์คเลย สามารถย้ายไปใช้รถคันอื่นได้ (ต้องเป็นแบบเซ็นเซอร์จุกอุดลมด้วยนะครับ)

บางคนคิดแบบนี้จริงๆ คือคิดว่า อุปกรณ์แบบนี้มันจำเป็นเฉพาะเวลาเดินทางไกล ก็เลยมีชุดนึงประจำบ้าน ใครจะเดินทางไกลก็หยิบเอาไปใช้

แต่ผมว่ามันคล้ายๆ GPS ตอนช่วงแรกๆ คือเป็นของใหม่ ไม่กล้าซื้อ ยืมๆกันไปก่อน นานๆเข้า ก็มีกันคันละชุด เพราะมันสะดวกกว่า และมันก็ไม่ได้แพงมโหฬารอะไร


แกะกล่องมาหน้าตาแบบนี้เลย มีจอแสดงผล เซ็นเซอร์ 4 ตัวระบุตำแหน่งซ้ายขวาหน้าหลังมาเรียบร้อย มีคู่มือ และกาวสำหรับหยอดน็อตยึดเซ็นเซอร์


การติดตั้ง
แบบติดตั้งภายใน ก็ติดตั้งแทนจุกเติมลมอันเดิมไปเลย ติดตั้งเสร็จก็ต้องถ่วงล้อใหม่ เพราะมีน้ำหนักประหลาดเพิ่มเติมมาอีก แนะนำนิดนึงว่า ช่างที่ติดต้องเคยทำมาก่อน หรือไม่ก็ต้องบอกให้เขาระวังเป็นพิเศษ
เพราะตอนที่ขอบยางดีดข้ามขอบล้อ อาจจะไปฟาดโดนเซนเซอร์ ซึ่งก็ถึงกับทำให้แตกได้ โชคดีที่ร้านที่ผมเอาไปทำเขาเคยติดมาก่อน ก็เลยเนียนไป

Note: หลังจากทำมาหลายครั้ง ค้นพบวิธีบอกช่างง่ายๆแล้วว่า อย่าเอาชะแลงไปงัดบริเวณที่มีจุ๊บลม .. จบ
คือเวลาถอดยาง ช่างจะเอาชะแลงงัดไปรอบๆยาง เพื่อให้ขอบยางปีนข้ามขอบกระทะ ก็แค่ให้เค้าเว้นช่วงที่มีจุ๊บลม (ซึ่งมีเซ็นเซอร์อยู่).. จบ

ตัวหน้าจอ ผมก็จัดการติดบนคอนโซลข้างพวงมาลัย ใต้ dashboard
ใครสังเกตจะเห็นว่า เจ้า display สีมันเปลี่ยนไป ผมจัดการเลื่อยขาตั้งออก แล้วพ่นสีดำทับ เพื่อทำให้มันกลืนกับรถที่สุด



ทดสอบกันเลย
หลังจาก ติดตั้งเซนเซอร์ในล้อ ถ่วงล้อ และติดตั้งจอแสดงผลแล้ว เราก็เปิดเครื่องกันเลย

จริงๆตัวเครื่องมีอะไรให้เราเซ็ตได้นิดหน่อย เช่น
- เปลี่ยนหน่วยแรงดันลม PSI / Bar
- เปลี่ยนหน่วยอุณหภูมิ องศา C / องศา F
- มีเมนูให้เราสลับตำแหน่งยาง

แต่เดิมๆมาก็เป็น PSI / องศา C อยู่แล้ว ดังนั้นก็ไม่ต้องเซ็ตอะไร


เปิดเครื่องมา มันจะหาสัญญาณอยู่ซักพัก หน้าจอแสดงแรงดันของล้อทั้ง 4 ในหน่วย PSI
กดปุ่มหนึ่งที ก็เปลี่ยนมาแสดงอุณหภูมิ 4 ล้อ


ทดลองเติมลม ตามที่คู่มือรถแนะนำคือ หน้า 32 หลัง 38 PSI
ผลก็คือจอแสดงผลแสดงออกมาแบบนี้


เซ็นเซอร์ประเภทนี้มีอัตราความถูกต้องอยู่ที่ +/- 0.5 PSI ดังนั้นก็แต่ละล้อก็อาจมีส่วนต่างบ้าง เพราะตอนเราเติมลมเข้าไปก็ไม่ได้แม่นยำอะไรมาก จะเห็นว่าล้อหน้าขวา แรงดันจะสูงกว่าที่ตั้งใจไว้ 1 PSI น่าจะเป็น error ทั้งตอนเติม ตอนวัดขณะเติมและ error ของเซนเซอร์เอง

ถ้าเกิดเหตุที่จะแจ้งเตือน หน้าจอจะเปลี่ยนเป็นสีแดงและมีเสียง beep เตือน
(ขออภัย ไม่ได้ถ่ายรูปไว้)

เงื่อนไขการเตือนก็มีอยู่ ตามนี้
- แรงดันลมอ่อนกว่าค่าที่ตั้งไว้ 25%
- แรงดันลมสูงกว่าที่ตั้งไว้ 40%
- ลมรั่ว (ลมหายไปมากกว่า 3PSI ใน 20 วินาที)
- อุณหภูมิลมในยางเกิน 80 องศาเซลเซียส
- เซนเซอร์แบตตารี่อ่อน
- หาเซนเซอร์ไม่เจอ

หลายคนอาจจะอยากลองเริ่มใช้โดยเลือกเซนเซอร์แบบจุกลม
แบบนี้ง่ายดี แต่ก็โดนขโมยง่ายนะครับ
แถมความถูกต้องของการวัดอุณหภูมิก็มีความผิดพลาดสูง เพราะตัวเซนเซอร์อยู่นอกยาง


ก่อนที่จะติดตั้ง TPMS ชุดนี้ผมเพิ่งเสียยางไป 1 เส้นเพราะลมอ่อน และวิ่งบดอยู่หลายร้อยเมตรจนยางขาด โชคดีที่ไม่วิ่งด้วยความเร็วสูง ระบบแบบนี้นอกจากจะช่วยให้ประหยัดน้ำมัน ช่วยลดอุบัติเหตุจากยางแล้ว ยังอาจจะทำให้คุณไม่ต้องเสียเงินค่ายางที่วิ่งบดแบบผม ผมว่าน่าจะหามาลองดูนะครับ

ปล. ค่าตัวระบบ WT110 ซื้อมาจากเว็บในราคา 4,500 บาท ใครซื้อได้ถูกกว่านี้ ไม่ต้องมาบอกให้เจ็บใจ...555 

วันพุธที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2554

รถยนต์หุ้มพลาสติค ลอยน้ำหรือไม่??

หลังจากโดนถามมาเยอะว่า ชั่วโมงน้ำท่วม ถ้าเอาผ้าคลุมรถมาพลิกคลุมครึ่งล่าง รถจะลอยน้ำหรือไม่
ในนามของความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ ผมก็เลยเขียนบทความนี้ขึ้นมา..55555

มาดูโซลูชั่นกันก่อน
จริงๆแล้ว น้ำท่วมรถ สามารถแก้ได้หลายวิธี

- ง่ายสุด เอารถไปจอดบนตึกจอดรถ
- ทำแพ ยางใน อันนี้เห็นพวกมูลนิธิ ใช้ลากรถที่โดนน้ำท่วมตอนปี 53 เมพมากๆ (Proof แล้วเวิร์คชัวร์)
(ข่าวอ้างอิง)
http://news.impaqmsn.com/articles.aspx?id=371816&ch=lc1


- มีเด็กอาชีวะเลย ทำผ้าถุงคลุมรถ แต่ท้ายที่สุดแล้ว เหมือนจะไม่ได้ทำขาย
(อัพเดตครับ ตอนนี้มีคนทำขายแล้ว รวดเร็วจริงๆ)

ถุงที่ทำขาย หน้าตาแบบนี้ครับ


 ราคาขายอยู่ที่ 3,900 บาท ไปซื้อได้ที่ งานโฮมโปร เมืองทอง หรือ ลองโทรติดต่อไปที่บริษัท ดิจิตอลเซิร์ฟ รามคำแหง 24 โทร 02-7190120


- และมนุษย์โลกก็ใช้ภูมิปัญญาชาวบ้าน สร้างเวอร์ชั่นนี้ขึ้นมา

วิธีการ เอารถเข้าถุง ก็ต้องเอาคน 4 คนช่วยกันดึง
หรือไม่ก็แนวนี้


ตอนนี้มีแนวคิดใหม่เพิ่มเติม แบบนี้ครับ
คือเป็นการเอาพลาสติคที่ใช้พันรอบพัสดุหรือลังสินค้า มาทำให้พันรถกลายเป็นดักแด้ไปเลย



ประเด็นวันนี้ก็คือ ตระกูลถุงทั้งหลายนั้น รถจะลอยหรือไม่ลอย??

ผมจะอธิบายด้วย ฟิสิกส์มอปลายครับ (หรือมอต้นหว่า)

แรงยกของแรงลอยตัว จะเท่ากับ น้ำหนักของน้ำที่วัตถุเข้าไปแทนที่



ความหนาแน่นของน้ำเปล่า คือ 1 กิโลกรัม / ลิตร 
ถ้าเป็นน้ำโคลน ก็ยิ่ง หนาแน่นกว่านั้นอีก

คำนวณง่ายๆ

ถ้ารถหนัก 1 ตัน จะต้องแทนที่น้ำเท่าไหร่ ถึงจะลอย ?

ก็แทนที่น้ำ 1000 กิโล ซึ่ง ทำกับ 1000 ลิตร

แล้วปริมาตร 1000 ลิตรนี่มันแค่ไหนกันนะ

1000 ลิตร ก็ประมาณ 1 ลูกบาศก์เมตร (1 x 1 x 1 เมตร)

ถ้าพยายามทำให้เป็นทรงของรถยนต์ เบๆ เลยก็ กว้าง 1 เมตร ยาว 2 เมตร สูง 50 เซนติเมตร

แต่เราก็รู้ว่า ไม่มีรถยนต์คันไหน กว้าง 1 เมตร ยาว  2 เมตร



Toyota Vios ยาว 4.3 เมตร กว้าง 1.7 เมตร หนัก 1,065 กก. (รุ่นหนักสุด)


คำนวณความสูงน้ำ ก่อนรถจะลอย ก็ 1.065 / (4.3 x 1.7) = 14.5 เซนติเมตร

พูดง่ายก็คือ ถ้าขึงให้ผ้าใบหรือผ้าพลาสติคหย่อนไปติดกับท้องรถ ระดับน้ำสูงจากใต้ท้องรถขึ้นมา 14.5 เซนติเมตร วิออสก็เริ่มลอยแล้วครับ

แต่ถ้าขึงผ้าพลาสติคตึง ไม่ติดท้องรถ  ระยะก็จะเป็น 14.5 เซนติเมตร จากพื้นถนนเลย
คันอื่นๆก็หลักการเดียวกัน
(ตอนแรกๆต้องคำนวณพิสูจน์ ตอนนี้มีคนลองจริงแล้ว ดูวิดีโอข้างล่างได้เลย)


Honda City ยาว 4.4 เมตร กว้าง 1.69 เมตร หนัก 1,150 กก (รุ่นหนักสุด)


คำนวณความสูงได้ 1.15 / (4.4 x 1.69) =  15.4 เซนติเมตร ไม่ได้หนีกันเท่าไหร่


ที่นี้มาดูรถใหญ่กันบ้าง

Honda Accord รุ่นท็อปสุด รุ่น 3.5V6
รถยาว 4.94 กว้าง 1.84 หนัก 1,652 กก


ระยะกินน้ำก่อนลอย = 1.65 / (4.94 x 1.84) = 9.08 เซน เท่านั้น 

รถยิ่งใหญ่ ความหนาแน่นยิ่งต่ำ (ยิ่งโปร่ง)

BMW Series 3 (e90)
ยาว 4.53 เมตร กว้าง 1.98 เมตร หนัก 1,465 กก


อันนี้ = 1.46 / (4.53 x 1.98) = 16.2 เซนติเมตร

สรุป คือจะบอกว่า ก็ลอยกันทั้งนั้นแหละ 
ระยะที่ว่า นี้คือ นับจากใต้ท้องรถนะครับ ไม่ใช่นับจากล้อ

จริงๆแล้วมีประเด็นที่น่าสนใจ เพราะจริงๆแล้ว น้ำหนักรถไม่ได้เฉลี่ยเท่ากันทั้งคัน
ด้านหน้า หนักกว่า เพราะเป็นเครื่องยนต์

ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็น แพยางใน หรือถุงหุ้ม ก็ต้องระวังเรื่องการถ่ายเทน้ำหนักดีๆ
ไม่งั้นรถจะเป็นแบบนี้



อันนี้เป็นภาพจริงจากเหตุการณ์ Tsunami ที่ญี่ปุ่น 
ซึ่งเราจะเห็นว่า รถลอยกันตุ๊บป่องๆ หน้าทิ่มๆกัน
รถพวกนี้ ไม่ได้เคลื่อนที่เพราะโดนน้ำพัดไถลนะครับ แต่ลอยตามกระแสน้ำเลย

ดังนั้น พวกตระกูล ถุงหุ้มทั้งหลาย จงระวังหุ้มด้านหน้าไว้ให้เยอะๆ  เท่าที่ดู ก็มิดกระจกหน้าละครับ
จะให้ดีก็เอาให้รอบคันไปเลย

(Update: ตอนแรกผมนึกว่าหน้ารถจะทิ่ม แต่จากวิดีโอที่ทดลองจริง ปรากฏว่า ก็ลอยตัวเสมอดี แสดงว่าโพรงอากาศในห้องเครื่องก็มีปริมาตรไม่น้อยเช่นกัน เอาเป็นว่าใช้วิจารณญาณละกันครับ)

มีข้อควรระวังอีกอย่างนึง ก็คือ ถุงหุ้ม ถ้าเป็นพลาสติคไม่ได้หนามาก
ถ้าขึงตึงๆ แล้วเอารถวิ่งทับ น้ำหนักรถทับผ้า และขึงจนตึง
เมื่อแรงน้ำพยายามกดขึ้น ผ้าจะโดนรถทับไว้ และจะขาด ถ

วาดภาพง่ายๆ ก็เหมือนเอาผ้าใบ มาขึงตึงๆสี่มุม แล้วเอารถวิ่งทับ
ผ้าใบคงรับน้ำหนักรถได้ยาก

ถ้าจะให้ดี ควรให้ใต้ท้องรถนั้น ผ้ามีพื้นที่ย่นเข้าแนบติดใต้ท้องรถ จะได้ไม่ต้องรับน้ำหนักรถเต็มๆ

แต่ถ้าคิดว่าผ้าใบหนาพอ ก็สบายใจได้
ลองดูสาธิตการห่อ และเดโม่การจุ่มน้ำได้จากวิดีโอ ของ ม.สุรนารี

ผมคิดว่า แนวคิดรถลอยนั้นสำคัญมาก เพราะ ถ้าเคว้งคว้างไปมาก อาจจะไปชนกับของภายในบ้าน ทำให้เกิดรอยบนรถได้
แต่ถ้าจอดในที่สาธารณะ อันตรายสุดๆ นอกจากจะลอยไปตามกระแสน้ำแล้ว
ขโมยยังเหมือนมี Super แม่แรง ที่ทำให้เขาสามารถแทบจะผลักรถโดยใช้นิ้วเดียวได้เลย
เข็นด้านข้าง หมุนรถ สบายมาก 
สัญญาณกันขโมยพวกที่ตรวจสอบความเอียง คงจะดังกันจนป่วน (หรือเปล่า?)




ถ้ารถจะต้องแช่น้ำจริงๆ
1. ถอดแบตตารี่ออก
2. ถอดกล่อง ECU อันแสนแพงออก
3 หุ้มปลายท่อไอเสีย กันน้ำเข้าเครื่อง
4 หุ้มท่ออากาศเข้าเครื่อง (หลังใส้กรองอากาศ)
5 หุ้ม ก้านวัดระดับน้ำมันเครื่อง







วันอังคารที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

Google Wallet อวตารกระเป๋าตังในร่างมือถือ


พาทัวร์ Google Wallet

                เทคโนโลยีนี้ถูกเปิดตัวในงาน Google I/O 2011 ที่จัดไปเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา สร้างความฮือฮาได้พอสมควร Google Wallet เป็นเทคโนโลยีทำทรานแซกชั่นแบบหนึ่ง พูดห้วนๆก็เป็นซอฟท์แวร์บวกกับฮาร์ดแวร์ ที่ทำให้เจ้าของมือถือสามารถจ่ายเงินผ่านมือถือได้ หลายคนอาจจะจินตนาการว่า Google จะเปิดให้บริการรับชำระเงินแบบ PayPal หรือเปล่า? แต่จริงๆแล้วไม่ใช่ ค่ายนี้ไม่ต้องการทำตัวเป็นธนาคาร  Google ก็คือ Google คือยังคงเป็นบริษัทที่ provide เทคโนโลยีพื้นฐานให้บริษัทอื่นเอาไปใช้ สิ่งที่ Google จะได้จากงานนี้ก็คือข้อมูลการซื้อขาย พฤติกรรมผู้บริโภคและร้านค้า เอาไปป้อน Search Engine ผู้หิวกระหายของตัวเองเท่านั้น

                ลงรายละเอียดอีกนิด Google Wallet ก็คือซอฟท์แวร์ที่ทำงานบน Smartphone ทำหน้าที่เป็นกระเป๋าสตางค์ คือเก็บรายละเอียดบัตรเครดิต และรายละเอียดการใช้จ่ายของเรา เมื่อถึงนาทีต้องจ่ายเงิน ข้อมูลบัตรเครดิตจากในโปรแกรมจะออกไปหาหัวจ่ายเงินของร้านค้าผ่าน NFC (Near Field Communication) ซึ่งเป็นการสื่อสารไร้สายระยะใกล้ (ไม่เกิน 20 เซนติเมตร) ที่จะมาแทนบัตรแม่เหล็ก กับสมาร์ทการ์ด แค่นั้น เมื่อก่อนโทรศัพท์ในสเป็คจะต้องมี บลูทูธ ไวไฟ หรือกล้อง อีกหน่อยก็ต้องมี NFC (ถ้าระบบนี้แจ้งเกิดได้จริงๆ)





                เทียบให้เห็นภาพ ระบบปัจจุบันเวลาเราไปซ้อปปิ้งตามร้านค้า เมื่อถึงคราวจ่ายเงิน ก็หยิบบัตรพลาสติกมาให้พนักงานรูดปรื้ดๆ ถ้าเป็นระบบ Google Wallet แบบ NFC สิ่งที่เราทำก็คือ เอาโทรศัพท์มือถือไปแตะกับเครื่องอ่าน คล้ายระบบ SmartPurse ที่เมืองไทยมีใช้ตามร้านสะดวกซื้อ แต่ความเด็ดของมันอยู่ที่ เมื่อเราแตะกับเครื่องอ่านแล้ว ข้อมูลสินค้าที่เราซื้อ ราคา รวมทั้งยอดเงินที่เราจะต้องจ่ายจะปรากฏบน Smartphone ของเราพร้อมเอาไปใช้งานอย่างอื่น เช่นเก็บเป็นประวัติ เป็นต้น

                ข้อมูลพฤติกรรมการใช้จ่ายของเรา จะถูกย่อยเข้าไปในระบบเพื่อวิเคราะห์ เมื่อไปผสานกับ Search Engine ของ Google ระบบก็จะบอกเราได้ว่า ด้วยพฤติกรรมแบบนี้ ในพื้นที่ใกล้เคียง (ซึ่งได้ข้อมูลตำแหน่งจาก smartphone) มีร้านค้าไหนบ้างกำลังจัดโปรโมชั่นในสินค้าที่ตรงกับรสนิยมของเรา ระบบนี้เรียกว่า Google Offer เป็นรัก-ยม ในระบบวงจรการจ่ายเงินของ Google แน่นอนว่าเมื่อเราทำการจ่ายเงิน ข้อมูลพวกส่วนลด แต้มสะสมต่างๆก็จะถูกจัดการหักลบ และเก็บบันทึกให้อัตโนมัติ ไม่ต้องมาโชว์บัตร ขอเบอร์สมาชิก เบอร์โทรอะไรในโลกนี้อีกแล้ว





                Google บอกว่าจุดขายของแพลตฟอร์มคือเป็นระบบเปิด ยินดีต้อนรับผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดเข้าร่วมบริการ ไม่ว่าจะเป็น

  • ธนาคารผู้ออกบัตร 
  • ร้านค้า 
  • บริษัทหักชำระบัญชี 
  • ค่ายมือถือ 
  • หรือแม้แต่บริษัทมือถือค่ายอื่น 

               สิ่งเดียวที่ Google ต้องการจากการให้บริการก็คือข้อมูล เพื่อจะไปป้อนระบบโฆษณา ซึ่งเป็นแหล่งรายได้หลักของ Google เท่านั้น.. อย่างน้อยก็ตอนนี้

            ในจุดเริ่มต้น Google มีพาร์ทเนอร์ชุดแรกเป็นห้างสรรพสินค้าในย่านนิวยอร์คและซานฟรานซิสโก เช่นร้าน Subway, Macy, Walgreen และ Toy R Us ระบบรับชำระเงินแรกที่ Google ไปพ่วงด้วยก็คือ MasterCard ซึ่งความจริงทาง MasterCard เองก็มีระบบการ์ดชำระเงินแบบ contactless ให้บริการอยู่ เรียกว่าระบบ "PayPass". 
                
                 ในเฟสแรก Google ก็รับเอา PayPass เข้าเป็นส่วนหนึ่งของ Google Wallet ดังนั้น ระบบนี้จึงสามารถนำไปใช้กับหัวจ่าย PayPass ของ MasterCard ที่มีอยู่แล้วได้ทันที ปัจจุบัน PayPass มีหัวจ่ายแบบไร้สายทั่วอเมริกา 124,000 จุด และอีก 311,000 ทั่วโลก นับเป็นตัวเลขที่น่าสนในทีเดียว แต่คงเทียบไม่ได้กับญี่ปุ่นที่ใช้เทคโนโลยีการจ่ายเงินแบบสัมผัสมาหลายปี และเจริญจนกลายเป็นเรื่องธรรมดามากๆสำหรับคนทั่วไป



                และด้วยความที่ Wallet เป็นระบบเปิด ดังนั้นจึงเป็นไปได้ที่จะรองรับเน็ตเวิร์คชำระเงินอื่นๆเช่น Visa หรืออะไรก็ได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ลักษณะเดียวกับที่กระเป๋าสตางค์ของเรารับบัตรเครดิตได้ไม่เลือกค่าย และตัวซอฟท์แวร์ Wallet เอง แม้ในเบื้องต้นจะทำงานบนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์เป็นหลัก แต่ Google ก็ยืนยันว่า ยินดีจะไปทำงานบน iPhone ด้วย แต่ปัญหาคือ Steve Jobs จะยอมปล่อยแอพ Wallet ขึ้น App Store หรือเปล่าต่างหาก ถ้าดูจากความเข้มข้นของการแข่งในโลก Smartphone แล้วก็ต้องบอกว่า คงจะยาก

                ทำให้เห็นภาพอีกเช่นกันว่า ด้วยเจตนาของ Google ที่ปวารณาตนจะเป็นระบบเปิดมาตลอด ระบบแผนที่ Google Map ซึ่งก็ไม่เคยเลือกค่าย จึงถูกเลือกเป็นแผนที่หลักของ iPhone เพราะในช่วงที่ iPhone เกิด Google ยังไม่เข้าตลาด Smartphone แต่ตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยน พอ Google ทำ Smartphone ค่ายยักษ์คู่แข่งก็เริ่มทำท่ารังเกียจ พอ Google ทำ Google Plus ซึ่งเป็น Social Network ใหม่ แอนดรอยด์ก็น่าจะเริ่มมีปัญหากับ Facebook อีก 
                น่าคิดเหมือนกันว่าในอนาคต Google จะยังคงความเป็นระบบเปิดได้หรือไม่ ถ้าค่ายอื่นต่างก็ปฏิเสธทั้งหมด แว่วๆว่าตอนนี้แอปเปิ้ลเริ่มมีความคิดจะสร้างบริการแผนที่ของตัวเองแล้ว โนเกีย หรือไมโครซอฟท์เองก็คงไม่ยินดีนักที่จะเข้าไปร่วมแชร์ใช้บริการจาก Google ดูไปดูมาตอนนี้คงเหลือแค่ WebOS ของ HP เท่านั้นที่ยังอ่อนแอที่สุดในแง่ Cloud Service ซึ่งก็คงต้องพึ่งของค่ายอื่นไปก่อน

                ตอนนี้โทรศัพท์มือถือที่รองรับเทคโนโลยี NFC ยังคงมีแค่ Nexus S เท่านั้น แต่ค่ายมือถือหลายค่ายก็พร้อมใจกันกระโจนสู่สมรภูมินี้ ไม่ว่าจะเป็นโมโตโรลา HTC , LG หรือแม้แต่แพลตฟอร์มอื่นอย่าง Blackberry, Nokia กับ Apple ต่างก็ยักคิ้วให้กับ NFC

 << สติกเกอร์ Contactless แปะหลังเครื่อง

                Google บอกว่า แม้ตอนนี้โทรศัพท์ NFC จะมีน้อย แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ เพราะ Smartphone ธรรมดาที่ไม่มี NFC ก็สามารถเข้าสู่ระบบ Google Wallet ได้ สิ่งที่ต้องทำก็เพียงติดสติกเกอร์ NFC ไว้ที่หลังเครื่อง (สติกเกอร์หนึ่งอันแทนบัตรเครดิตหนึ่งใบ) เมื่อมีการแตะจ่ายเงิน ข้อมูลจากร้านค้าก็จะวิ่งสู่ Cloud Service และวิ่งอ้อมกลับมาที่โทรศัพท์มือถืออีกที!!...หน้าตาดีมาก ดังนั้นตามทฤษฏี เราก็สามารถเอาสติกเกอร์ไปแปะไว้ที่โทรศัพท์รุ่นไหนก็ได้ในโลก รวมทั้ง iPhone ด้วย ปัญหาเดียวที่มีก็อย่างที่บอกไว้ Apple จะยอมให้ซอฟท์แวร์ Google Wallet ผ่านเข้า App Store หรือเปล่าเท่านั้น

                ก่อนหน้านี้ก็คาดกันว่า Apple จะเปิดตัวโทรศัพท์ iPhone 4S ในงาน WWDC 2011 ลุ้นๆกันอีกว่าอาจจะมีเรื่อง Payment ติดปลายนวมมาด้วย แต่เอาเข้าจริงก็ไม่มีแม้แต่เงาของโทรศัพท์ใหม่ มีแค่บริการ iCloud กับอัพเดตเวอร์ชั่น OS คนดูก็เหงากันไป ส่วนสาวกก็คลุ้มคลั่งสาธุตามปกติ

                นอกจากการชำระเงินแล้ว Google Wallet หรือเทคโนโลยี NFC ยังสามารถประยุกต์กับกิจกรรมอื่นๆได้อีกมากมาย ลองวาดภาพดูว่ากระเป๋าสตางค์ของคุณเก็บอะไรไว้บ้าง เพียบครับ ไม่ว่าจะเป็นบัตรสมาชิกทั้งหลาย ตั๋วคอนเสิร์ต ตั๋วเครื่องบิน ใบเสร็จ ทั้งหมดล้วนเป็นไปได้และมาแน่ๆหากไม่แป๊กไปซะก่อน Google เองถึงกับประกาศว่า เทคโนโลยี NFC นั้นจะเป็นเทคโนโลยีหลักของแอนดรอยด์ จะเลิกสนับสนุน QR-Code กันไปเลยทีเดียว ถ้าออกตัวชัดขนาดนี้ Smart Poster ที่เคยเป็น QR-Code หรือการเช็คอินของ Foursquare ก็น่าจะกลายเป็น NFC ได้ไม่ยาก

                พูดได้เต็มปากว่าเทคโนโลยี NFC จะพาเราไปสู่อะไรๆได้อีกมากมาย ขออย่างเดียว ผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือต้องออกมาเล่น ผู้ให้บริการ Cloud ทำระบบ ที่เหลือก็แค่จินตนาการเท่านั้น

วันพุธที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2554

Minutes Beep for Android !! จบปัญหาลืมปิดเน็ตแบบง่ายๆ


Minutes Beep for Android
http://www.facebook.com/pages/G-Minute-Beep/140749585988845


Platform: Android
Version: 0.72
June 2011




การเล่นเน็ตผ่านมือถือกลายเป็น lifestyle ของคนยุค smartphone ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่มีใครจำความได้ ที่รู้ก็คือ ตอนนี้เราใช้เน็ตกันเยอะมาก อัพรูป facebook ดูข่าว เช็คเมล์ ดูเว็บ ปัญหาคือ เล่นเพลินแล้วก็ลืมปิด!!


ผลก็คือ
- ถ้าซื้อแพ็กเกจแบบรายชั่วโมง หรือราย MB ... เน็ตก็จะรั่วหมดเร็ว บางครั้งเผลอไป 5-6 ชั่วโมง เจ็บใจมากก
- ถ้าไม่ได้ซื้อแพ็กเกจ อันนี้แย่หนัก จ่ายเงินกันหูตูบ
- แบตหมดเร็ว เพราะการเล่นเน็ต ก็เหมือนการโทรตลอดเวลานั่นเอง บางค่ายเวลาเปิดเน็ตคนจะโทรหาไม่ได้อีกต่างหาก


MinutesBeep for Android เป็น Utility ที่ออกแบบมาแก้ปัญหานี้โดยเฉพาะ
แนวคิดคือ เมื่อเราเปิดเน็ตเล่น โปรแกรมจะส่งเสียงเตือนเล็กๆ เอาแบบพอรู้ 5 นาทีครั้ง หรือ นาทีละครั้ง เลือกตั้งระยะเวลาได้ตามรสนิยม เลือกได้ด้วยซ้ำว่าจะให้เตือนเฉพาะตอนที่เผลอวางเครื่องทิ้งไว้จนหน้าจอมืด!!


ง่ายๆแต่เวิร์ค จากการใช้ในชีวิตประจำวัน พบว่าช่วยชีวิตเอาไว้ได้หลายครั้ง โดยเสียค่าเน็ตไปเพียงไม่เกิน 5 นาที


Features
-เลือกตั้งเวลาให้เตือนได้ทุก 1/5/10/15 นาที
-เลือกเป็นแบบสั่นได้ (ตามที่เซ็ต Ringtone ไว้)
-เลือกให้เตือน EDGE/3G หรือ Wifi ก็ได้
-ประหยัดแบตตารี่ ทำงานเฉพาะตอนเตือนเท่านั้น


ดาวน์โหลด
สามารถดาวน์โหลดได้จาก Market ของ Android โดยตรง โดยค้นหาคำว่า "Minutes Beep" หรือยิง QR-Code นี้ก็ได้




วิธีใช้
เมื่อดาวน์โหลด และติดตั้งโปรแกรมลงบน smartphone แล้ว โปรแกรมจะถูกเรียกขึ้นมาทำงานทุกครั้งที่เปิดเครื่อง แต่จะไม่แสดงอาการอะไร รักแต่ไม่แสดงออก ห่วงอยู่ห่างๆ เราจะรู้ตัวอีกที ก็เมื่อลืมปิดเน็ต แล้วโปรแกรมทำการเตือน 


ตัวโปรแกรม เมื่อเรียกขึ้นมาทำงาน ก็จะมีหน้าต่างแบบนี้

- GPRS/EDGE/3G จะเลือกเพื่อให้เตือนเมื่อลืมปิดเน็ต
- Wi-fi จะเลือกเพื่อเตือนเมื่อลืมปิด Wi-fi
ถ้าไม่เลือกอะไรเลย โปรแกรมก็จะไม่ตื่นขึ้นมาทำงานเลย

Force not Vibrate จะเลือกให้ปิดการสั่นตลอดเวลา ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
โดยปกติ ระบบจะทำงานตามค่า Ringtone ของโทรศัพท์ คือถ้าเปิดเสียง + สั่นไว้ MinutesBeep ก็จะมีเสียงเตือนพร้อมสั่น ถ้าตั้งโทรศัพท์เป็นสั่น โปรแกรมก็จะสั่นอย่างเดียว

Disable when screen on เป็นออปชั่นพิเศษ ที่จะไม่เตือนเวลาเราเปิดจอทำงาน แต่จะเตือนเวลาวางเครื่องทิ้งไว้และจอดับ เหมาะสำหรับคนที่เปิดเว็บเล่น ถ้าเตือนตลอดเวลาก็จะรำคาญมาก ก็เซ็ตค่านี้เพื่อให้เตือนเฉพาะตอนวางเครื่องทิ้งไว้แล้วจอดับ 


- Check Period จะกำหนดระยะห่างของการเตือน หน่วยเป็นนาที เลือกได้ตั้งแต่ 1 / 5 / 10 / 15 นาที


เมื่อเซ็ตค่าเสร็จกิจ ก็กดปุ่ม Back กลับไปทำงานต่อได้เลย
ถ้าคลิ๊กเมนู Quit จะเป็นการออกจากโปรแกรมจริงๆ ระบบจะไม่ทำการแจ้งเตือนใดๆ


ลองดูครับ ใช้แล้วชอบหรือไม่ชอบ คอมเมนต์ได้ที่ Facebook 

วันพุธที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

Google I/O 2011 วันแรก

วันแรกแจก Galaxy Tab 10.1 ไปซะแล้วคนละเครื่อง
 
Presentation เปิดตัวด้วย Stat ของ Android ว่า Activateไปแล้ว 100 ล้านเครื่อง
สถิติเปิดเครื่องใหม่วันละ 400,000 ราย (คือซื้อแล้วเปิดเครื่องใหม่นะครับ ไม่ใช่สถิติ reboot)

ตอนนี้ Market มี App ถึง 200,000 ตัว รองรับอุปกรณ์ 310 รุ่น
  
อัพเดต OS ใหม่ Android 3.1 (รหัสลับ Icecream Sandwich) จะเป็น OS ที่รองรับอุปกรณ์ทุกประเภทใน OS เดียวกัน
ทั้ง Phone, Tablet, TV

เปิดตัว Google Music beta และ Movies เป็น Cloud service ให้อัพโหลดและแชร์เพลง
Movies for rent จะเป็นบริการให้เช่าหนัง เริ่มต้นที่ 1.99$ ดูได้ทั้งบน Tablet และ Phone
  
สุดท้าย Android@Home เป็นระบบที่ให้ Android เข้าควบคุมอุปกรณ์ในบ้าน เช่นเปิดปิดไฟ

วันพฤหัสบดีที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2554

Asiabooks เปิดตัวบริการ eBooks

หลังจากที่ iPad และอุปกรณ์ Tablet ทั้งหลายเริ่มเข้าไทยเป็นเวลากว่า 1 ปี และทำท่าจะกลายเป็นอุปกรณ์สำหรับ "Consume" ข้อมูล แทน Netbook ไม่ว่าจะเป็นเว็บ อีเมล์ เกมส์ หรือหนังสือ

หลายคนอาจจะเคยซื้อ eBooks จากแพลตฟอร์มของฝรั่งกันแล้ว ไม่ว่าจะเป็นแม็กกาซีน หรือหนังสือ
วันนี้ Asiabooks เปิดตัวร้านหนังสือ eBooks ขึ้นในไทยอีกเจ้าหนึ่ง ซึ่งหลายคนก็ยังงงว่า แล้วจุดขาย หรือความแตกต่างจากการซื้อโดยตรงจาก Steve Jobs คืออะไร



AsiaBooks บอกว่า หนังสือที่จะจำหน่ายแบบ eBooks นั้นจะเป็นหนังสือภาษาอังกฤษ แม้จะมีเรื่องราวของย่าน Asia บ้าง แต่ก็ยังคงเป็นหนังสือ section - south east asia อย่างที่เห็นตามร้านเอเชียบุ๊ค

จำนวนปกที่วางจำหน่ายในเริ่มแรกนั้นคือ 500,000 ปก ราคาเห็นมีตั้งแต่ 95 บาท ไปถึง 2-300 และก็ไปเรื่อยถึงเฉียดพัน ในเว็บบอกว่าการซื้อหนังสือแบบอีบุ๊คส์นั้นจะได้ดีลที่ดีกว่า คือมีส่วนลด แต่ก็ไม่ใช่แบบว่า เหลือเล่มละไม่กี่สิบบาท

การใช้บริการนั้น สามารถทำได้ผ่านเว็บของ AsiaBooks สามารถเข้าไปซื้อที่ Kiosk ในร้าน Asiabooks สาขา สยามพาราก้อน ใครอยากฮิป ลองไปใช้บริการดูได้

สเต็ปการใช้งานคือ
- เลือกหนังสือ (เว็บ , Kiosk)
- จ่ายเงิน (5 วิธี - Counter Service 7-11, PayPal, บัตร Visa/Mastercard, โอนเงินเข้าบัญชี และจ่ายที่เคาท์เตอร์ในร้าน)
- ดาวน์โหลดหนังสือ

แพลตฟอร์มอีบุ๊คที่ Asiabooks เลือกใช้นั้นเป็นตระกูล EPUB กับ PDF
อุปกรณ์ที่รองรับสำหรับอ่านนั้นมีอยู่ 4 ตัวด้วยกันคือ
- พีซีวินโดวส์
- เครื่องแม็ค
- iPad
- iPhone

โดยบนวินโดวส์นั้นจะใช้โปรแกรม Adobe Digital Edition, eReader Pro กับ Microsoft Reader
ของแม็ค OS X จะเป็น Adobe Digital Edition
ไอแพ็ตจะใช้โปรแกรม BlueFire Reader, PDF Word Excel File Viewer และโปรแกรม eReader
ส่วนไอโฟนนั้นจะเป็นโปรแกรม BlueFire Reader และ eReader

สิ่งที่ AsiaBooks ทำจะเป็นตัวพิสูจน์ว่า ร้านหนังสือจะอยู่ในโลกอิเล็กทรอนิกส์ได้หรือไม่ อย่างไร
ความจริงบริการร้านหนังสืออีบุ๊คของ AsiaBooks ก็มีจุดเด่นหลายอย่าง เช่น

-สามารถให้บริการหนังสือได้ตรงกับความต้องการของลูกค้าตัวเองมากกว่า Global Brand
-การชำระเงิน / ให้บริการ สามารถทำได้ใกล้ชิดกว่า ยิ่งถ้าลูกค้าไม่ต้องการจ่ายเงินออนไลน์
-หรือกรณีที่ลูกค้ามา Visit ที่ร้านแล้ว ก็สามารถได้หนังสืออีบุ๊คกลับบ้านไปได้ด้วย
-แก้ปัญหาหนังสือ Out of Print หรือปัญหาสต็อค / shelf ในร้าน โดยร้านอาจจะวางเฉพาะหนังสือขายดี หรือหนังสือออกใหม่

อย่างไรก็ดีหนังสือที่จำหน่ายในร้านอีบุ๊คปัจจุบันยังเป็นปกต่างประเทศ ซึ่งก็สามารถหาซื้อได้จากแพลตฟอร์มอีบุ๊คอื่นๆทั้งของ Amazon, B&N, iBookstore ได้เช่นกัน ยังไม่เห็นการ Localization
ดังนั้นปัจจัยที่จะเป็นจุดขาย ก็จะเป็นเรื่องราคา อัตราแลกเปลี่ยน และความสะดวกกับบริการอีกนิดหน่อย ที่ทำให้ลูกค้าหันมาช็อปกับเอเชียบุ๊คส์

ทรูบุ๊คสโตร์เองที่เปิดตัวเมื่อปีที่แล้ว กลับมีหนังสือภาษาไทยจำนวนมาก ซึ่งมีจุดขายชัดเจน แถมยังมีการพูดถึงเครื่อง eReader ของ BenQ ด้วย

ดังนั้น อีบุ๊คสโตร์ของ Asiabooks เหมือนเป็นการเติมเต็มร้านขายหนังสือของตัวเอง และเปิดโอกาสในอนาคตของโลกอีบุ๊คส์ และไม่แน่ เราอาจจะได้เห็นโมเดลใหม่ๆ เช่นการสมัครสมาชิกอ่านไม่อั้น หรือเช่าอ่านเป็นระยะเวลา

ไม่แน่งานสัปดาห์หนังสือคราวหน้า อาจจะจัดที่พันทิพพลาซ่าก็ได้นะครับ